วัดสุวรรณประสิทธิ์
31/2 ถนน นวมินทร์ ซอย 42 แยก 25/27  แขวงคลองกุ่ม  เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10240
เบอร์โทรศัพท์ 02-138-6680 -02-138-6679 -02-734-8316- 085-886-63
ประวัติพระวิปัสสนาจารย์
ประวัติ


เว็บไซต์ศูนย์วิปัสสนาเคลื่อนที่แห่งประเทศไทย
 

                                             https://sites.google.com/site/kittisakjittamay/<
เหตุเบื้องต้น
 

เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๔ พระปัญญาคุณ ปุณฺณวํโส   อดีต  พล.ต.ต. ขุนศรีศรากร (ชลอ ศรีศรากร อธิบดีกรมสรรพามิตรอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ บริษัทไบเล่คาลิฟอร์เนียโอเร้นซ์ ประเทศไทย จำกัด)ได้เดินทางไปหามุมสงบทำสมาธิ และสถานที่เพื่อจะละสังขารโดยขณะนั้นท่านเข้าใจว่า ตนเองปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานจนบรรลุ มรรค-ผล  มีนิพพานเป็นอารมณ์ (เป็นการเข้าใจผิด เพราะวิปัสสนูกิเลส)จึงมองหาสถานที่เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม และละสังขาร ท่านได้เดินทางไปวัดถ้ำตอง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านคิดว่า ท่านบรรลุแล้ว เลยเดินบ้าง นั่งบ้าง ทำสมาธิไปเรื่อยๆใกล้ๆ กันนั้นมีภิกษุหนุ่มรูปงามเดินจงกรม นั่งสมาธิ ไม่พูดไม่คุย เก็บอารมณ์ทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง หลวงพ่อชลอ เห็นอาการอย่างนี้อยู่หลายวัน นึกสงสัยว่าพระรูปนี้น่าจะมีคุณวิเศษ หรือบรรลุคุณธรรมอย่างไรเป็นแน่ อยากจะสอบถามว่า ท่านบรรลุธรรมอะไร เหมือนกับตัวท่านหรือไม่ จึงเข้าไปสอบถามได้ความว่า ท่านชื่อว่าพระภิกษุบุญเลิศ เหมโก มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่นี่เพื่อพยายามกำจัดกิเลสน้อยใหญ่ และท่านอาจารย์บุญเลิศมีความรู้ มีความเข้าใจอารมณ์ของวิปัสสนา มากพอสมควรเพราะท่านผ่านการปฏิบัติมามาก และรู้ถึงอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ

หลวงพ่อชลอ ได้เล่าถึงการปฏิบัติ การบรรลุธรรมของท่านตามความเข้าใจของท่านเอง อาจารย์บุญเลิศได้สอบถามถึงการปฏิบัติ และสิ่งที่ได้ สิ่งที่ประสบ ท่านรู้ว่าหลวงพ่อยังไม่บรรลุคุณธรรมใดๆ เป็นเพียงอารมณ์ของวิปัสสนูกิเลส ระหว่าง ญาณที่ ๓ ถึงญาณที่ ๔ เท่านั้น  แต่ท่านไม่บอกให้หลวงพ่อรู้ ท่านค่อยๆ แก้อารมณ์กรรมฐานของหลวงพ่อจนท่านสามารถข้ามพ้นความเข้าใจผิดนั้น  และปฏิบัติจนได้รู้เห็นสภาวะที่สูงกว่าที่ท่านเคยได้

หลวงพ่อชลอ  เคยเล่าให้ฟังว่าท่านได้อิ่มเอมกับปีติอย่างใหญ่หลวง  มันเป็นปีติสุขที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย จนคิดว่าตัวเองบรรลุดังที่ท่านเคยศึกษามาว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ท่านคิดว่าท่านบรรลุนิพพานแล้วได้รับปีติอย่างยิ่ง ท่านเล่าว่าในช่วงนั้นถ้าใครเอาทรัพย์สิน แก้ว แหวน เงินทอง สักสิบคันรถ  มาแลกกับปีติสุขที่ท่านได้ ท่านก็ไม่ยอมแลกด้วย เมื่อเข้ากรุงเทพฯ พระอาจารย์บุญเลิศได้เข้าอบรมวิชาครู (วิปัสสนาจารย์) ทดสอบการปฏิบัติ และศึกษาวิธีการสอบอารมณ์ การแก้อารมณ์ ศึกษาถึงสภาวะธรรมต่างๆที่จะเกิดขึ้นแก่โยคีผู้ปฏิบัติวิปัสสนา และศึกษาอารมณ์ของญาณต่างๆจนครบทั้ง ๑๖ ญาณจนช่ำชอง สามารถเป็นครู เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐานได้

หลังจากนั้น พระอาจารย์บุญเลิศได้ไปช่วยสอนวิปัสสนากรรมฐานที่วัดสาวชะโงกอยู่หลายปี  ในที่สุดท่านก็ได้กลับมาที่วัดบ้านเกิด วัดพนมพนาวาส เพื่อสอนวิปัสสนากรรมฐาน ท่านดำเนินการ จัดการอยู่ปริวาสกรรมขึ้น  ซึ่งในขณะนั้น ไม่ค่อยจะมีวัดจัดปริวาสกรรมมากนัก และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ท่านประสงค์จะสอน วิปัสสนากรรมฐานให้ทั้งพระภิกษุผู้ประพฤติวุฏฐานคามินี และญาติโยมผู้ประสงค์จะปฏิบัติเป็นเบื้องต้น ถือว่าเป็นการเปิดตัว และแนะนำให้ญาติโยมรู้จักกรรมฐานเป็นเบื้องต้น โดยได้รับการอนุเคราะห์ จากพระครูไข่ วชิโร(ภายหลังได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระครูวัชรสังวรคุณ ซึ่งเป็นหลวงอาของพระอาจารย์บุญเลิศเอง)
 
เริ่มการอบรมวิปัสสนาจารย์
 

เมื่อปี ๒๕๑๖ ท่านได้เริ่มจัดการอบรม  พระวิปัสสนาจารย์ขึ้น  นับเป็นต้นกำเนินของพระวิปัสสนาจารย์   โดยการนำของท่าน  โดยใช้รูปแบบที่ท่านเคยอบรม  ประสบการณ์ และประยุกต์กับเหตุการณ์ปัจจุบัน  ผสมผสานจนได้พระวิปัสสนาจารย์ขึ้นเป็นรุ่นแรกขึ้นมา  ในรุ่นที่ ๑ นี้ มีท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ (ศรีสมุทร เขมทตฺโต)  เจ้าอาวาสวัดสุวรรณประสิทธิ์องค์ปัจจุบัน ร่วมอบรมด้วย และก็เป็นพระอาจารย์สอนวิชาวิปัสสนากรรมฐาน  ให้กับศูนย์ ฯ  และสอนพุทธศาสนิกชนทั่วไป  ตามที่วัด  หรือ โรงเรียน  อาราธนามา

รุ่นแรกๆนั้นจะพิจารณาจาก พระภิกษุ สามเณร และแม่ชีที่ผ่านการปฏิบัติมาอย่างเคร่งคัด หรือบางท่านก็ได้ผ่านฌาน ๑๖ มีคุณธรรม และมีอารมณ์กรรมฐาน  เบื้องสูง  ท่านเริ่มจากผู้รู้ผู้เข้าใจจริงๆ  ให้มีความรู้ ความสามารถเพิ่มจนเป็นครูสอนวิปัสสนาได้  จึงได้เรียกว่าพระวิปัสสนาจารย์  และตั้งชื่อที่ทำการว่า ศูนย์วิปัสสนาเคลื่อนที่แห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ ณ วัดพนมพนาวาส ต.คลองขุด อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา โดยได้รับการสนับสนุนจาก พระปัญญาคุณ ปุณฺณวํโส (ชลอ ศรีสรากร) และได้รับการอนุเคราะห์สถานที่ และการดูแลเอาใจใส่จาก พระครูวชิรสังวรคุณ (ไข่ วชิโร) ได้รับกำลังสนับสนุนจากญาติโยมทั้งที่ ต.ตลองขุด และชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา (แปดริ้ว) การอบรมพระวิปัสสนาจารย์ได้ดำเนินไปเป็นอย่างดี  จากรุ่นที่ ๑ ถึง รุ่นที่ ๖ จึงได้ย้ายการอบรมมาสู่ วัดสุวรรณประสิทธิ์  ในปี ๒๕๒๒

ที่ชื่อว่า ศูนย์วิปัสสนาเคลื่อนที่แห่งประเทศไทยโดยมีจุดประสงค์ว่า หลังจากให้ความรู้แก่พระสงฆ์จนจบหลักสูตร 3 เดือนแล้ว จะจัดส่งพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นออกเผยแพร่ไปในที่ต่างๆ  เพื่อสอนพระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ที่เข้ามาปฏิบัติธรรม และรับศีลอุโบสถในพรรษา และงานสอนทั่วๆไป ไม่อยู่กับที่ เคลื่อนไปเรื่อยๆ
ย้ายการอบรมมาที่วัดสุวรรณประสิทธิ์
 

ในปี ๒๕๒๒ พระอาจารย์บุญเลิศได้รับการนิมนต์จากญาติโยม  ชาวสุวรรณนิเวศน์ และละแวกใกล้เคียง ให้มาจำพรรษา ณ วัดสุวรรณประสิทธิ์ แขวงบึงกุ่ม (เขตบางกะปิ ในสมัยนั้น) กรุงเทพฯ  ปลายปีนั้นเอง ท่านก็ได้รับแต่งตั้ง โดยความพร้อมใจกันของคณะสงฆ์ และชาวบ้าน ให้เป็นเจ้าอาวาส วัดสุวรรณประสิทธิ์ที่ว่างเว้นจากเจ้าอาวาส

ท่านดำริว่า การอบรมพระวิปัสสนาจารย์ ที่วัดพนมพนาวาสก็ดีอยู่แล้ว  แต่ลำบากเรื่องการเดินทางของผู้เข้ารับการอบรม และทั้งวิทยากรผู้ช่วยการอบรมก็หายาก ท่านจึงย้ายการอบรมมาที่วัดสุวรรณประสิทธิ์ โดยใช้ศาลาการเปรียญไปก่อน พอปีต่อมา พ.ศ. ๒๕๒๓ -๒๔  พระนักเรียนวิปัสสนามากขึ้น  เนื่องจากสถานที่ ที่วัดสุวรรณประสิทธิ์ ไม่อำนวยเพราะยังไม่มีสิ่งก่อสร้างเท่าทุกวันนี้  ท่านจึงขอยืมใช้ห้องประชุมโรงเรียนประภาสวิทยา ซึ่งอยู่ติดกันเป็นสถานที่อบรมก่อน  ผู้เข้าอบรมพักจำวัดภายในวัด พอถึงเวลาจึงเดินไปเรียน ณ ประชุมโรงเรียน

ในปลายปี ๒๕๒๔ ได้มีศรัทธาจากคณะศิษย์พระแม่กวนอิม และได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารตึกวิปัสสนาพระแม่กวนอิมขึ้น เป็นอาคารคอนกรีต ๓ ชั้น เอนกประสงค์เป็นชั้นยาวตลอด ชั้นล่างสุดไว้ประกอบพิธีทางศาสนา และใช้ในการอบรมพระวิปัสสนาจารย์  ชั้นที่ ๒ ๓ เป็นที่พักของผู้เข้าอบรม และดำเนินการอบรมเรื่อยมาจนทุกวันนี้

  

ผู้สืบสานปณิธาน
 

หลังจากที่พระครูประสิทธิ์เขมคุณ (บุญเลิศ เหมโก) ได้วางรากฐานของการอบรมวิปัสสนาและการก่อสร้างวัตถุให้เพียงพอแก่การใช้สอย ท่านได้ดำเนินการมาตลอด  พระอาจารย์ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งในช่วงคอ  อาจเป็นเพราะท่านได้ใช้เสียงในการเทศน์และสอนมากเกิน แต่ท่านก็ได้ แต่ท่านก็ได้ทำอย่างนี้จนแม้นาทีสุดท้าย ของชีวิต

เมื่ออาการเจ็บป่วยได้รุมเร้ามากขึ้น   และท่านพิจารณาเห็นแจ้งว่าท่านคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน  ท่านจึงพิจารณาถึงผู้ที่จะสืบสานปณิธานของท่าน  ที่จะจัดอบรมพระวิปัสสนาให้สืบไป   พระครูประกาศสมาธิคุณ (ศรีสมุทร เขมทตฺโต) ก็เข้าข่ายในการทำงานสืบสานเจตนารมณ์ของท่าน จึงได้นิมนต์ท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสุวรรณประสิทธิ์ เพราะโดยปกติแล้ว พระอาจารย์จะเดินทางรอนแรมไปสอนในคามนิคมต่างๆ ไม่อยู่กับที่  สมเป็นพระวิปัสสนาจารย์แห่งศูนย์วิปัสสนาเคลื่อนที่แห่งประเทศไทยจริงๆ   ท่านรับอาราธนามาจำพรรษาอยู่วัดสุวรรณประสิทธิ์ และได้รับตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาส พ.ศ. ๒๕๓๒  และเมื่อการจากไปของพระครูประสิทธิ์เขมคุณมาถึง พระครูประกาศสมาธิคุณได้รับตำแหน่งรักษาการแทนเจ้าอาวาส และรับตำแหน่งเจ้าอาวาสอย่างเต็มตัว  พ.ศ. ๒๕๓๓ ท่านได้เสริมสร้างสิ่งที่ขาด และสืบปณิธานของพระอาจารย์เป็นอย่างดี

การอบรมพระวิปัสสนาจารย์เจริญขึ้น มีผู้เข้าอบรมมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีผู้ เข้าร่วม อบรมรุ่นละไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ รูป/คน โดยอบรมตั้งแต่แรกจำนวน ๔๑ รุ่น ๔๑  ปีแล้ว